top of page

                                                            สมุนไพรวัยทองสำหรับสุภาพบุรุษ

Iฮอร์โมนเป็นตัวกำหนดความเป็นหนุ่มสาวในร่างกายของคนเรา สำหรับผู้ชายฮอร์โมนที่มีผลต่อสมรรถภาพ และความแข็งแรงของร่างกาย คือ ฮอร์โมนที่ชื่อว่า "แอนโดรเจน" ถึงแม้ว่าโดยธรรมชาติผู้ชายจะแก่ช้ากว่าผู้หญิง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผู้ชายจะไม่มีวันแก่ หรือจะอยู่เป็นหนุ่มสองพันปีแต่เพียงฝ่ายเดียวตลอดไป ผู้ชายจะต้องผ่านวัยแห่งความเสื่อมถอยนี้ด้วยเช่นกัน ความจริง เรื่องของผู้ชายวัยทองไม่ใช่เรื่องใหม่ในทางการแพทย์แต่คงเป็นเพราะผู้ชายแทบทุกคนให้ความสำคัญกับเรื่องสมรรถภาพทางเพศ ว่าเป็นเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่ในชีวิตที่แสดงถึงความเป็นชายชาตรีที่สมบูรณ์ ดังนั้น เมื่อผู้ชายยุคนี้มีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศลดลงเพิ่มมากขึ้น (อันเนื่องมาจากวัยและปัจจัยอื่นๆ) เรื่องของผู้ชายวัยทองจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย และกล่าวถึงกันมากในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ถึงขนาดที่องค์การอนามัยโลกได้ให้การสนับสนุนจัดตั้งชมรมผู้ชายวัยทองนานาชาติขึ้น โดยมีนายแพทย์บรูโน ลูเนนเฟลด์ สูตินรีแพทย์ชื่อดังชาวอิสราเอล เป็นประธานชมรม

ในบ้านเราตอนนี้เรื่องผู้ชายวัยทองกำลังได้รับความสนใจมากเช่นกัน บางคนสงสัยว่าผู้ชายไม่ได้มีประจำเดือนสักหน่อย ทำไมถึงเรียกว่าเป็นวัยหมดประจำเดือนเหมือนผู้หญิงด้วยล่ะ บ้างก็ยังไม่อยากยอมรับว่าตัวเองได้ย่างเข้าสู่วัยเสื่อมถอยแล้ว (แม้ภายนอกจะดูหนุ่มอยู่เพราะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย) แต่สุดท้ายก็หนีความจริงไปไม่ได้ว่าทุกคนต้องแก่กันทั้งนั้น อยู่ที่จะช้าหรือเร็ว หรือแต่ละคนดูแลตัวเองดีมากน้อยแค่ไหน

                                                                                อาการวัยทอง : ผู้หญิง-ผู้ชายไม่ต่างกัน
การเปลี่ยนแปลงชีวิตสู่วัยทองของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ในทางการแพทย์เชื่อว่าถ้าพ่อแม่เข้าสู่วัยทองเร็ว ลูกๆ ก็ถึงวัยทองเร็วกว่าปกติด้วย โดยเฉลี่ยผู้หญิงจะเข้าสู่วัยทองระหว่างอายุประมาณ ๔๘-๕๒ ปี และสำหรับผู้ชายเองก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้หญิงมากนัก ฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิงสร้างจากรังไข่ เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนที่ฮอร์โมนขาดไปและไม่มีการตกไข่ ทางการแพทย์จะเรียกหญิงวัยทองว่า เมโนพอส (menopause) ส่วนผู้ชาย ฮอร์โมนแอนโดรเจนจะสร้างจากอัณฑะและมีมากในวัยเจริญพันธุ์ เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนแอนโดรเจนจะน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจของผู้ชาย (ทันทีหรือค่อยเป็นค่อยไป) ไม่แตกต่างไปจากผู้หญิง ทางการแพทย์เรียกผู้ชายวัยทองว่า "แอนโดรพอส" (andropause)

อาการที่พบได้ในผู้ชายวัยทอง คือ เครียด หงุดหงิด โกรธง่ายเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เหงื่อออกมาก สมาธิลดลง นอนไม่ค่อยหลับ กำลังวังชาลดลง โครงสร้างของร่างกาย เช่น กระดูกต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย (แม้จะไม่ชัดเจนเหมือนผู้หญิง) มีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ กระดูกพรุน ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะออกลำบาก สมรรถภาพทางเพศลดลง ซึ่งเรื่องนี้แหละที่ผู้ชายส่วนใหญ่วิตกกังวลกันมากเป็นพิเศษ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผู้ชายวัยทองที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเผาผลาญไขมันจะลดลง จึงทำให้มีไขมันส่วนเกินได้ง่าย ดังนั้นผู้ชายวัยทองจึงมักจะลงพุง กล้ามเนื้อลีบเล็กลง แข็งแรงน้อยลง และผมบางมากขึ้น

                                                                           ปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลงเร็วกว่าปกติ
นอกจากอายุซึ่งเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงแล้ว ปัจจุบันยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ผู้ชายเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ นั่นคือ

- เรื่องของกรรมพันธุ์

- การทำงานหนัก และพักผ่อนน้อย

- มีความเครียดตลอดเวลา

- ความอ้วน

- การขาดสารอาหารบางชนิด (เช่น แร่ธาตุสังกะสี เบต้าแคโรทีน)

- การดื่มเหล้า สูบบุหรี่

- มีโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไตวาย ฯลฯ)

- การกินยาบางชนิด (เช่น ยารักษาไทรอยด์)

- การออกกำลังกายที่มากเกินไป เป็นต้น

สรุปได้ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ร่างกายเสื่อมถอยเร็ว จะทำให้มีการหมดฮอร์โมนเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน



                                                                                      ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ชายวัยทอง
ฮอร์โมนเพศชายมีหน้าที่ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ทำให้การกระจายตัวของไขมันเป็นปกติ เมื่อฮอร์โมนดังกล่าวลดลง จะทำให้ไขมันในเลือดสูง หลอดเลือดอุดตันได้ง่าย ดังนั้นผู้ชายวัยทองจึงมักจะลงพุง และเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับระบบหลอดเลือด (โรคหัวใจ อัมพาต) ได้มาก ขณะเดียวกันฮอร์โมนเพศที่ลดลง จะทำให้ผู้ชายมีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ไม่มีอารมณ์ที่จะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งถ้าหากผู้ชายคนไหนที่ยึดถือเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ในชีวิต ภาวะดังกล่าว ก็จะมีผลต่อจิตใจ ความรู้สึก และการดำเนินชีวิตครอบครัวมากทีเดียว โดยเฉพาะถ้าไม่มีการพูดคุยให้เข้าใจกันทั้ง ๒ ฝ่าย ในระยะยาวผลของการขาดฮอร์โมนเพศชายจะทำให้กระดูกบางลง เป็นโรคกระดูกพรุนได้เช่นเดียวกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนทำให้เกิดภาวะกระดูกหักได้ง่าย กล้ามเนื้อจะค่อยๆ ลีบเล็กลง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย

การรักษาอาการของผู้ชายวัยทอง
การรักษาอาการของผู้ชายวัยทองขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล ในทางการแพทย์มีวิธีรักษาอยู่หลายวิธีด้วยกัน อันดับแรกจะเป็นการรักษาทางจิตใจก่อน ซึ่งในบางราย การพูดคุยอย่างเดียวก็สามารถ ฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วยได้ หรือบางรายอาจต้องใช้ยาร่วมด้วย การใช้ยาฮอร์โมนเพศชายเสริม มีตั้งแต่ชนิดกินและชนิดเจลทาผิว ฯลฯ ซึ่งหลายๆ วิธีที่กล่าวถึงนี้ ผู้ป่วยไม่ควรไปซื้อมาใช้เอง ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เมื่อไรที่สังเกตว่า ตัวเองเริ่มมีอาการผิดปกติ หรือสงสัยว่าจะเป็นอาการของผู้ชายวัยทองหรือไม่ ขั้นแรกแนะนำว่าควรจะไปพบแพทย์ (ทางด้านอายุรกรรม : หมอตรวจโรคทั่วไป) ให้ตรวจร่างกายทั่วไปก่อนว่ามีปัญหาเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บอะไรซ่อนแฝงอยู่หรือไม่ ที่ทำให้มีผลกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศ เช่น โรคเบาหวาน ไทรอยด์ โรคหัวใจ โรคตับ การใช้ยาบางชนิด ฯลฯ ถ้าหากไม่มีปัญหาเรื่องโรคต่างๆ สูติ-นรีแพทย์จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว ชีวิตคู่ และแพทย์ทางด้านยูโรวิทยา (ระบบทางเดินปัสสาวะ) จะดูแลรักษาในเรื่องการใช้ยา การเสริมซิลิโคน หรืออื่นๆ

ยืดเวลาแห่งความเป็นหนุ่มให้นานที่สุด
ถึงแม้มนุษย์จะไม่สามารถเอาชนะความเสื่อมถอยได้ แต่ก็พอมีวิธีที่จะยืดเวลาแห่งความเป็นหนุ่ม เป็นสาวให้ยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใต้เงื่อนไขของธรรมชาติเอง  นั่นคือ

- มีวินัยในการดำเนินชีวิตที่ดี

- พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย ๖-๘ ชั่วโมง หรือหากนอนหัวค่ำได้จะยิ่งดี เพราะฮอร์โมนเพศชายจะสร้างตอนกลางคืน

- งดสูบบุหรี่ และดื่มเหล้า ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายแทบทุกระบบ

- กินอาหารที่มีประโยชน์ ถูกสัดส่วน ไม่มากหรือน้อยเกินไป กินอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และ ไขมันให้น้อยที่สุด

- มองโลกในแง่ดี พยายามอย่าให้มีความเครียด

- ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ

หลายคนคงทราบดีถึงกฎธรรมชาติข้อหนึ่ง นั่นคือ อวัยวะใดก็ตาม ถ้าหากไม่มีการใช้งานหรือใช้ประโยชน์ จะเสื่อมลงเรื่อยๆ แต่ถ้าหากมีการใช้งานคือออกกำลังกายเป็นประจำ จะทำให้ร่างกาย แข็งแรง ปอดแข็งแรง ระบบประสาทตื่นตัวตลอดเวลา ร่างกายกระฉับกระเฉง สมรรถภาพทางเพศไม่เสื่อมถอยเร็วกว่าวัยอันควร แต่ดูเหมือนวิธีง่ายๆ ที่ได้ผลที่สุด กลับมีคนปฏิบัติตามได้น้อย ส่วนใหญ่มักจะละเลยตัวเองจนเกิดปัญหา แล้วจึงค่อยหาวิธีแก้ไขภายหลัง ซึ่งหลายๆ ครั้ง หลายๆ กรณีบางทีก็สายเกินแก้ไขได้ สำหรับผู้ที่สามารถจัดการกับชีวิตได้เหมาะสมลงตัว บางทีคุณอาจก้าวข้ามวัยทองของชีวิตไปโดยไม่มีปัญหาอะไรเลยก็ได้



ที่มา : หมอชาวบ้าน

 http://doctor.or.th/article/detail/2498





                                                                                                        สมุนไพรวัยทองสำหรับสุภาพบุรุษ

                 โสม                    

​                    Asian ginseng
           ( Panax ginseng C.A., Meyer)
โสมเป็นสมุนไพรซึ่งนิยมใช้ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันโดยประเทศทางตะวันออกเชื่อว่าเป็นยาครอบจักรวาลช่วยเพิ่มพลัง โสมนี้ยังมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น โสมจีน โสมญี่ปุ่น โสมเกาหลี โสมอเมริกา ผักกะโสม โสมไทย โสมดอกแดง และโสมที่นิยมใช้กันมาพันปี คือ โสมเกาหลี หรือโสมอเมริกา ซึ่งเชื่อว่ามีสรรพคุณทางยาอย่างแท้จริง          
โสมมีสารประกอบสำคัญทางยามากกว่า 200 ชนิดประกอบด้วยกลุ่มสำคัญๆดังนี้

1.) กลุ่มสารปรับสภาพ (Ginsenoside Rg1,Rb1,Ro)เป็นกลุ่มที่มีคุณประโยชน์สูงสุด Rg1,Rb1จะส่งเสริมการทำงานซึ่งกันและกัน เหมือนหยินและหยางในยา

2.) กลุ่มสารสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และกล้ามเนื้อ
 
3.) กลุ่มสารที่ช่วยขจัดไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย (Panaxans)
 
4.) กลุ่มสารต่อต้านปฏิกิริยาการก่อมะเร็ง (Antioxidants)
 
5.) กลุ่มสารอื่นๆ เช่นวิตามิน เกลือแร่ น้ำมันหอมระเหย กรดไขมันเป็นต้น
สารสกัดจากโสมมีผลต่อการทำงานของร่างกาย

        1. ระบบมีภูมิคุ้มกันโรค สารสกัดจากโสมช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น โดยเสริมการสร้างแอนตี้บอดี้และช่วยกระตุ้นเซลล์ของร่างกายให้มีการสร้างภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันไป เสริมการสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความต้านทานให้อวัยวะที่ยังไม่เป็นโรค และเป็นยาอายุวัฒนะ ชลอความแก่

        2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด สารสกัดจากโสมส่งผลให้หัวใจแข็งแรง ควบคุมการเต้นของหัวใจและควบคุมความดันเลือด ช่วยเพิ่มฮีโมโกบินให้สูงขึ้น ช่วยละลายลิ่มเลือด ลดคอเลสเตอรอล ช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน อันเป็นสาเหตุ ของโรคความดันโลหิตและโรคหัวใจ ช่วยลดปริมาณแอลกอฮอร์ในเลือด โสมช่วยผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด มือและเท้าเย็นเป็นต้น

       3. ระบบเผาผลาญอาหาร สารสกัดโสมช่วยสร้างระบบความสมดุลพลังในร่างกาย การดึงพลังงานสำรองมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยระบบการย่อยอาหารในกระเพาะควบคุมการหลั่งกรดในกระเพาะ มีผลต่อระบบการเคลื่อนไหวที่ดี มีความกระตือรือร้น และมีความอดกลั้นที่มากขึ้น

       4. ระบบสมองและความจำ สารสกัดโสม Gipsenoside มีผลต่อระบบศูนย์กลางควบคุมความสามารถทั้งหมดโดยเฉพาะในสมองส่วนของ Hypothalamus เป็นที่ควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนที่สำคัญ เช่น Growth Hormone, Estrogen Hormone ในเพศหญิงเป็นต้นและควบคุมระบบประสาทของร่างกาย การกระตุ้นการทำงานของสมองส่งผลต่อการพัฒนาความสามารถในด้านการรับรู้และความจำ รวมทั้งการผ่อนคลายของระบบเส้นประสาทที่ดีขึ้น ช่วยระงับและลดความเครียดในสมอง

        โสม ช่วยผู้ป่วยโรคเบาหวานในเรื่องการควบคอเลสเตอรอลและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้...


        โสม ช่วยบำรุงร่างกาย และเสริมการต่อต้านโรคภัยให้ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมเร็ง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ในช่วงที่ให้การบำบัด ด้วยเคมีบำบัด และช่วงพักฟื้น ..
        โสม  มีผลต่อผู้ที่มีปัญหาเรื่องการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศและการสืบพันธุ์ สารสกัดโสมช่วยเสริมการสร้างตัวอสุจิในท่านชาย และสร้างความแข็งแรงของอวัยวะสืบพันธุ์
         โสม ยังมีส่วนช่วยปัญหาของวัยหมดประจำเดือน ช่วยควบคุมระดับอารมณ์ และมีสารที่ช่วยให้ผิวเปร่งปรั่ง รักษาผิวหนังให้ชุมชื่น รวมทั้งช่วยป้องกันภัยจากรังสีแกมมา ...



ต้องการตำหรับสมุนไพรโสมที่มีผลการทดลอง

                   ปัญจขันธ์
          Gynostemma pentaphyllum
    เบญจขันธ์ เจียวกู่หลาน เซียนเฉ่า
 

 พืชล้มลุกชนิดเถาเลื้อยที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมีในประเทศไทย อยู่ในวงศ์แตง แต่คนไทยเพิ่งจะเริ่มปลูกและให้ความสนใจเมื่อไม่นานมานี้ ในขณะที่คนจีนในภาคใต้ของประเทศนำปัญจขันธ์มาบำรุงร่างกายกันนานแล้ว โดยคนจีนรู้จักกันในชื่อ เจียวกู่หลาน หรือเซียนเฉ่า (สมุนไพรอมตะ) และเริ่มแพร่หลายเข้าไปในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๓  มีชื่อญี่ปุ่นว่า อะมาซาซูรู แปลว่า ชาหวานจากเถา
มีงานวิจัยสมุนไพรนี้จากประเทศจีนและญี่ปุ่นจำนวนมาก พบว่ามีสารสำคัญที่เรียกว่าสารกลุ่มจิปพีโนไซด์ ซึ่งเป็นสารประเภทไตรเทอร์พีนซาโพนินที่มีสูตรโครงสร้างคล้ายสารกลุ่มจินเซนโนไซด์ที่พบในโสม ทั้งๆที่พืชทั้ง ๒ ชนิด ไม่มีความสัมพันธ์กัน โดยสารจิปพีโนไซด์ที่พบในปัญจขันธ์มีมากกว่า ๘๐ ชนิด โดยมี ๔ ชนิดที่เหมือนกับที่มีในโสม และอีก ๑๑ ชนิด มีสูตรโครงสร้างคล้ายคลึงกับจินเซนโนไซด์ มีรายงานการวิจัยในห้องปฏิบัติการในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง
ฤทธิ์ของสารจิปพีโนไซด์ในปัญจขันธ์หรือสารสกัดปัญจขันธ์
    ต้านอนุมูลอิสระ
    ลดระดับไขมันในเลือด
    เสริมภูมิคุ้มกัน
    ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งบางชนิด
    ยับยั้งการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด
    ต้านอักเสบ
    ลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยมีการพบสารซาโพนิน ชื่อฟาโนไซด์ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน
    ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารในหนูที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยการให้แอลกอฮอล์ร่วมกับกรดเกลือ หรือจากยาต้านอักเสบอินโดเมทาซิน หรือจากการกระตุ้น ให้หนูเกิดความเครียด
    กระตุ้นการหลั่งไนตริกออกไซด์จากเซลล์ผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดขยายตัว

 

ต้องการตำหรับสมุนไพรโสมที่มีผลการทดลอง
    ป้องกันการเกิดพิษต่อตับของสารที่เป็นพิษต่อตับ เช่น พาราเซตามอล คาร์บอนเตตราคลอไรด์
สำหรับการวิจัยทางคลินิกนั้น จีนจึงได้ศึกษาวิจัยประสิทธิผลของปัญจขันธ์ต่อระบบภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการผ่าตัดและได้รับเคมีบำบัดรวมทั้งฉายแสง พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาต้มปัญจขันธ์ ขนาด ๓๐ กรัม/วัน นาน ๓ สัปดาห์ มีการแบ่งตัวของลิมโฟไซต์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับกลุ่มที่ได้รับสมุนไพร กระตุ้นภูมิคุ้มกันอีกชนิดหนึ่ง คือ ราก Radix Astragali seu Hedysari (Huangqi)
นอกจากนี้ จากการวิจัยในผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีและเคมีบำบัด พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับปัญจขันธ์มีการพยากรณ์โรคดีกว่า คือมีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งช้ากว่า และมีอายุยืนกว่าในประเทศญี่ปุ่นและจีนได้จดสิทธิบัตรของสารสกัดปัญจขันธ์เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต่างๆ หลายชนิด ได้แก่ เครื่องสำอางบำรุงผิว ผม หนังศีรษะ ผลิตภัณฑ์กระตุ้นการเจริญของผม เครื่องดื่มหรือชาสมุนไพร อาหารสุขภาพ ยาทาลดความอ้วน อาหารช่วย ลดไขมันในเลือด สารสกัดช่วยกระตุ้นการเจริญของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ และสารจิปพีโนไซด์ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งบางชนิด เป็นต้น
สำหรับประเทศไทย ในส่วนของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สถาบันการแพทย์ไทย-จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีโครงการความร่วมมือกับประเทศจีน ในการนำสมุนไพรจีนมาทดลองปลูกในประเทศ ผลการศึกษาในเบื้องต้นพบว่า ปัญจขันธ์สายพันธุ์ของจีนมีสารสำคัญสูงกว่าสายพันธุ์ของไทย ซึ่งตรงกับผลการวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ที่พบว่าพันธุ์จากจีนมีสารสำคัญมากกว่าพันธุ์โครงการหลวงอ่างข่าง ซึ่งจะได้มีการขยายพันธุ์ต่อไป สำหรับสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ศึกษาวิจัยสมุนไพรปัญจขันธ์พันธุ์ของไทยทางพฤกษเคมีเพื่อพัฒนาวิธีตรวจวิเคราะห์คุณภาพ และศึกษาพบว่าปัญจขันธ์มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ HIV-1 protease และได้ศึกษาพิษเรื้อรังของสารสกัดด้วยน้ำของปัญจขันธ์ในขนาด ๖, ๓๐, ๑๕๐ และ ๗๕๐ มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ในหนูขาวนาน  ๖ เดือนแล้ว พบว่ามีความปลอดภัย ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยในผู้ติดเชื้อ HIV

                       กระชายดำ
 Kaempferia parviflora Wall. Ex Baker   Zingiberaceae

อยู่วงศ์เดียวกันกับขมิ้นชันและว่านชักมดลูก ใช้ เหง้า หรือ หัว เป็นยา
สรรพคุณทางยาของกระชายดำ
         ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ กระตุ้นระบบประสาท แก้ปวดเมื่อย ขับปัสสาวะ ขับลม รักษาสมดุลความดันโลหิต ขยายหลอดเลือดหัวใจ โรคเก๊าต์ โรคกระเพาะอาหาร รักษาระบบการย่อยอาหารให้เกิดสมดุลย์ โรคบิด โรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด โรคหัวใจ สำหรับสุภาพสตรีทานแล้ว จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนทางเพศ ทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น ผิวพรรณผุดผ่องสดใส แก้อาการตกขาว ประจำเดือนมาไม่ปกติ



ต้องการตำหรับสมุนไพรกระชายดำที่มีผลการทดลอง


สารสำคัญที่พบในการะชายดำ
        สารที่พบในเหง้ากระชาย ได้แก่ borneol, sylvestrene ซึ่งแสดงฤทธิ์ต้านจุลชีพ และสาร 5,7 –ไดเมธอกซีฟลาโวน (5,7- dimethoxyflavone = 5,7 DMF) ซึ่งแสดงฤทธิ์ต้านอักเสบ นอกจากนี้ รายงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นปี 2547 พบสารพวกฟลาโวนอยด์ 9 ชนิด เช่น สาร 5,7,4’-trimethoxyflavone, 5,7,3’,4’-tetramethoxyflavone , 3,5,7,4’ –tetramethoxyflavone เป็นต้น

กระชายดำกับข้อมูลทางเพศ
     ตามตำรับยาแผนโบราณ หรือตำราว่าน 108 ถือว่ากระชายดำเป็นยาอายุวัฒนะชั้นหนึ่ง ตำรับยาเกือบทุกชนิดมักจะมีว่านกระชายดำเป็นส่วนประกอบอยู่เสมอ โดยสรรพคุณเฉพาะของกระชายดำเองแล้ว จะใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง เป็นยาเจริญอาหารและบำรุงธาตุ แก้ใจสั่นหวิว แก้ลมวิงเวียน แน่นหน้าอก แก้แผลในปาก แก้ฝีอักเสบ แก้กลากเกลื้อน ขับปัสสาวะพิการ แก้บิดมูกเลือด แก้ปวดมวนในท้อง ท้องเดิน แก้ซางตานขโมยในเด็กในตำรายาโบราณบางฉบับมีการบันทึกถึงการนำกระชายดำไปใช้เป็นยาสมุนไพร ในหลายตำรับ  ดังเช่นคัมภีร์ยา  “นพเก้า” ที่กล่าวกันว่าเป็นสุดยอดของตำรายาสมุนไพร ซึ่งมีตัวยาทั้งหมด 9 ชนิดและกระชายดำก็เป็นหนึ่งในเก้าชนิดนั้น



ต้องการตำหรับสมุนไพรกระชายดำที่มีผลการทดลอง





bottom of page