top of page

                                                        สมุนไพรสำหรับโรคหัวใจ

"โรคหัวใจ คือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย มีอัตราการเสียชีวิตโดยเฉลี่ยประมาณ 4 คนต่อชั่วโมง"



โรคหัวใจเป็นคำรวม ถ้าแยกรายละเอียดจะแบ่งโรคหัวใจออกได้อีกหลายชนิด เช่น โรคหัวใจจากหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ อาจตีบหรือรั่ว โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ เป็นต้น โรคหัวใจทั้งหมดนี้หากเกิดขึ้นเป็นเวลานาน ในที่สุดก็จะมีอาการโรคหัวใจที่เหมือนกัน คือ เกิดอาการเหนื่อยง่าย มีอาการหอบเมื่อออกแรง ทั้งหมดเกิดจากการที่หัวใจทำงานผิดปกติที่เรียกว่าหัวใจล้มเหลว หรือภาวะหัวใจวาย

          ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะนี้ จำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องด้วยวิธีการต่าง ๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อรักษาอาการดังกล่าว เมื่ออาการหายไป ผู้ป่วยสบายขึ้นแล้วควรเริ่มฟื้นฟูสมรรถภาพของหัวใจ เพื่อบำบัดอาการ ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของระบบหัวใจ เพราะถ้าปล่อยให้เนิ่นนานเกินไปจะทำให้ร่างกายส่วนอื่น ๆ เสื่อมสภาพตามกันจากการหยุดพักนานเกินไป การเริ่มฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจในเวลาที่เหมาะสม จะเป็นการทำให้หัวใจกลับมาทำงานได้ปกติเร็วขึ้น แล้วยังเป็นการป้องกันการเสื่อมสมรรถภาพของอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายอีกด้วย



ปัจจัยเสี่ยง...ต่อการเป็นโรคหัวใจ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ได้แก่

          คอเลสเตอรอลในเลือดสูง

          ความดันโลหิตสูง

          โรคเบาหวาน

          ความอ้วน มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน

          ความเครียด

          การไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

          สูบบุหรี่ หรือเพิ่งเลิกสูบบุหรี่ได้ไม่เกิน 2 ปี หรือได้รับควันบุหรี่สม่ำเสมอ (แม้ไม่ได้สูบบุหรี่)

          เพศชายอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือวัยทองหลังหมดประจำเดือน

         ชายและหญิงในวัยกลางคนขึ้นไป ถ้ามีความดันโลหิตสูง ภาวะความผิดปกติของระดับไขมันในเลือด หรือโรคเบาหวานควรได้รับการรักษาต่อเนื่อง อย่ารอจนเกิดอาการก่อนจึงรักษา เพราะเมื่อถึงเวลานั้นการรักษาก็ยากขึ้น และโรคแทรกซ้อนก็จะตามมามากมาย สำหรับผู้ที่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจข้างต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลตัวเอง และสืบค้นโรคหัวใจต่อไป



ที่มาของข้อมูล http://health.kapook.com/view4843.html



slideshow-  24 foods-to-save-your-heart



นำ้มันรำข้าวจมูกข้าวสกัดเย็น

 

​.น้ำมันรำข้าว คือ น้ำมันพืชที่ผลิตจากน้ำมันรำข้าวดิบ ซึ่งสกัดจากรำข้าว มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี ในกลุ่มโทโคฟีรอลประมาณ 19-40% และกลุ่มโทโคไตรอีนอล 51-81% และโอรีซานอล (Oryzanol) ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีถึง 6 เท่า มีกรดไขมันอิ่มตัว 18% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid : MUFA) 45% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid : PUFA) 37% น้ำมันรำข้าวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL-C)

​เป็นน้ำมันที่ได้จากกระบวนการพิเศษในการสกัดเอาสารสำคัญที่มี

ประโยชน์นานาชนิด ซึ่งมีอยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (Seed Membrane Layer) และจมูกข้าว (Rice Germ) จึงอุดมด้วยสารสำคัญทางธรรมชาติ และมีคุณค่าสูงต่อร่างกายหลายชนิด เช่น

• กลุ่มสารฟอสโฟไลฟิด (Phospholipids) เช่น เลซิติน (Lecithin) เซฟฟาลิน (Cephalin) ไลโซเลซิติน (Lysolecithin) ซึ่งมีความสำคัญในการนำไปสร้าง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ประสาทสมอง และช่วยป้องกันเซลล์ประสาท จากสารที่เป็นพิษและอนุมูลอิสระต่างๆ ช่วยลดความเครียด และช่วยเสริมสร้างในด้านความจำ

• กลุ่มเซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของชั้นใต้ผิวหนัง ช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น การเสริมสร้างเซราไมด์ให้เพียงพอ ทั้งโดยการรับประทานหรือการให้ทางผิวหนังในรูปการทาครีม หรือโลชัน จะช่วยรักษาผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่ง ปราศจากริ้วรอยย่นก่อนเวลาอันควร นอกจากนี้เซราไมด์ยังมีคุณสมบัติเป็นไวท์เทนเนอร์ (Whitener) ซึ่งสามารถยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน อันเป็นสาเหตุให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำบนผิวพรรณได้ดี และยังเป็นมอยเจอไรเซอร์ (Moisturizer) ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กลุ่มคอลโทคอล (Tocols) วิตามินอีธรรมชาติ ในรูปของโทโคเฟอรอล(Tocopherol) และโทโคไทรอีนอล (Tocotrienol) มีประโยชน์ต่อร่างกายในการสร้าง และซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ของร่างกายและยังช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่างๆช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง

• กลุ่มกรดไขมันไลโนเลอิค (Linoleic Acid) หรือโอเมก้า 6 และกรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid) หรือโอเมก้า 3 ที่เป็นกรดไขมันจำเป็น โดยมีอยู่ประมาณ 33%

• กลุ่มวิตามิน B - Complex ซึ่งช่วยให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น


• กลุ่มแกมมา - ออไรซานอล มีฤทธิ์ในการลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ทำให้ลดการตีบตันของหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และยังมีฤทธิ์ในการลดความเครียด และรักษาอาการผิดปกติของสตรีวัยทอง นอกจากนี้ยังเป็นสารอนุมูลอิสระ และยังป้องกันแสงยูวีได้ เมื่อใช้กินหรือใช้ทา ทำให้ผิวหนังชุ่มชื่นและต้านการอักเสบ สารชนิดนี้มีความปลอดภัยสูงมากเอกสารอ้างอิง

1. Juliano BO.ed. Rice : chemistry and technology, 2nd ed. Minnesota : American Association of Cerial Chemists. Inc., 1985, p.18

2. Sugano M.Tsu ji E. Rice bran oil and human heath, Biomed Environ Sci 1996: 9(2-3): 242-6.

3. Raghuram TC. Rukmini C. Nutritional significance of rice bran oil. Indian j Med Res 1995: 102: 241-4

4. Lichenstein AH et al. Rice bran oil consumption and plasma lipid levels in moderately hypercholesterolemic humans. Arterioscler Thromb 1994: 14(4): 549-56

5. Sugano M. Koba K. Tsuji E. Heath benefits of rice bran oil. Anticancer Res 1999: 19(5A): 3651-7.

6. Taniguchi H, Nomura E, Tsuno T, Minami S. 1999 Ferulic acid ester antioxidant/UV adsorbent. U.S. Pat. 5, 908, 615 Jun. 1.

7. Liu Y. 1987, Pharmaceutical composition for increasing immunity and decreasing side effects of anticancer chemotherapy. U.S. Pat. 4, 687, 761, Aug. 18.

8. Cherukuri RSV, Cheruvanky R. Lynch I. McPeak DL. 1999. Process for obtaining micronutrient enriched rice bran oil U.S. Pat, 5. 985, 344, Nov. 16.

9. Schmidt MA. Smart fats. Berkeley; Frog, Ltd., 1997, p.57

10. Hudson T, Womens’s encyclopedia of natural medicine. Los Angeles: Keals Publishing, 1999, p.112

11. Liebeman S. The real vitamin & mineral. 2nd ed. Honesdale: Paragon Press, 1997, p.76

12. Lane RH. Quershi AA. Saiser AS. 1997 Tocotrienols and tocotrienol-like compounds and methods for their use. U.S. Pat. 5. 591, 772 Jan. 7.

โสมซานชี​

Panax pseudoginseng

ซานชี หรือ เถียนชี (จีน: 三七 หรือ 田七เป็นพืชสมุนไพรอยู่ในตระกูล "โสมคน" ซานชีเป็นภาษาจีน แปลว่า "สามเจ็ด" เป็นไม้ยืนต้น แต่ละต้นมีกิ่ง 3 กิ่ง แต่ละกิ่งมีใบไม้ 7 ใบ เลยตั้งชื่อว่า สามเจ็ดกิ่ง

โสมซานชีต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ในปี ค.ศ. 2007 ไฮและคณะแห่งมหาวิทยาลัยถงจี้ในจีนได้ทำการศึกษาผลของสารพานาไซดอลซึ่งเป็นสารซาโปนินอีกชนิดหนึ่งในโสมซานชีต่อการลดจำนวนเซลล์เนื้องอกในสมองของหนู พบว่าสารพานาไซดอลสามารถลดและยับยั้งการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของเซลล์เนื้องอกในสมองของหนู ต่อมาในปี ค.ศ. 2006 เฉินและคณะแห่งมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงในจีนได้ทำการสกัดโสมซานชีโดยใช้เอทานอล จากนั้นทำการศึกษาผลของสารสกัดต่อมะเร็งตับใน
หนู พบว่าสารสกัดโสมซานชีสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับในหนูได้

โสมซานชีต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ปี ค.ศ. 2005 ชันและคณะแห่งมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงในจีน ทำการสกัดสารซาโปนินจากรากโสมซานชีแห้ง ได้แก่ จินเซนโนไซด์ Rd จินเซนโนไซด์ Rb1 และโนโตจินเซนโนไซด์ K ต่อระบบภูมิคุ้มกันในหนู พบว่าสารซาโปนินจากรากโสมซานชีแห้งทั้งสามชนิดสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในหนูได้


โสมซานชีมีสรรพคุณช่วยสร้างเลือดและห้ามเลือด และฟื้นฟูเลือดโดยสลายพิษภัยในเลือด แก้อักเสบและบรรเทาอาการเจ็บปวด เป็นส่วนประกอบสำคัญของยาจีนสำเร็จรูปหยุนหนาน ไป๋เย่า หรือยาขาวยูนนาน

กลุ่มเท่ออานน่า(Yunnan Dephne Pharmaceutical)ได้ผลิตยารักษาโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองที่ผสมสารซานชีเป็นผลสำเร็จ กำลังวิจัยการใช้ซานชีในการรักษาโรคตับอักเสบ การห้ามเลือดทางศัลยกรรม การรักษาโรคตา
โสมจีนซานชี เป็นพืชยาสมุนไพรเก่าแก่ของจีนนับหลายพันปี มีสรรพคุณในการฟื้นฟูสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ ระบบเลือด โสม ซึ่งจัดเป็นยอดสมุนไพรที่มีการใช้และยอมรับกันมานานนับพันปี และโสมที่โดดเด่นในการขับพิษออกจากเลือดก็คือโสมจีนซานชี (panax notoginseng)โดยการนำ โสมจีนซานชี มาผ่านกรรมวิธีสกัดด้วยระบบ Freeze Dry จนได้สารสกัดเข้มข้น ในรูป
สมุนไพรโสมจีนซานชี (ซานชีเย่) เพื่อใช้รับประทานในปริมาณน้อยๆเพื่อผลใน การบำรุงร่างกายและขจัดพิษออกจากเลือดรวมทั้งการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง

โสมซานชี จะมีหน้าที่สำคัญ 4 ประการหลัก คือ

1.Detox ล้างสารพิษ นำของเสียออกจากร่างกายรวมถึงคอเรสเตอรอล ไตรกรีเซอไรด์ ไขมันส่วนเกิน
2.Balance สร้างความสมดุลทุกระบบในร่างกายรวมถึงความดันโลหิตสูง


 

3.Nourishing การบำรุงทำให้เซลล์ในร่างกาย ระบบเลือดสะอาด สร้างอาหาร กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย
4.Maintainคงสภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงตลอดกาล

ดังนั้น สามารถกล่าวได้ว่า “โสมซานชี” เป็นพืชยาสมุนไพร ที่ ดี เลิศชนิดหนึ่ง ในการดูแลรักษาป้องกันช่วยให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรค

ในโสมซานชี ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนของต้นโสม กิ่ง ก้าน ใบ เกสร ดอก ราก เมล็ด ล้วนแต่มีสารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย มากกว่า 70 ชนิด ที่สำคัญได้แก่
1. สารซาโพนิน(Saponins)
2. สารแร่ธาตุส่วนน้อย (Trace Elements)
3. กรดอะมิโน (Amino Acid)
4. วิตามิน (Vitamins)
5. น้ำตาล (Saccharides)
6. น้ำมันระเหย (Voletine Oil)

 โสมซานชีมีสารที่ทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน
ปี ค.ศ. 2002 ชานและคณะแห่งมหาวิทยาลัยโปลีเทคนิคฮ่องกง ได้รายงานว่าจินเซนโนไซด์ Rg1 ใน
โสมซานชีมีผลต่อประสาทส่วนกลาง หัวใจและหลอดเลือดหัวใจ และมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ โดยจินเซนโนไซด์ Rg1 ทำ


 

หน้าที่คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ผลิตจากรังไข่ ต่อมาในปี ค.ศ. 2001 เฉินและคณะแห่งวิทยาลัยการแพทย์จีนได้
ทำการศึกษาผลของจินเซนโนไซด์ Rb2 และ Rc ในโสมซานชีมีผลต่อการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิที่อ่อนแอในหลอดทดลอง
พบว่า จินเซนโนไซด์ Rc มีผลทำให้ตัวอสุจิตัวมีการเคลื่อนที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากการบ่มไว้นาน 1 และ 2 ชั่วโมง ต่อมาใน
ปี ค.ศ. 1999 เฉินและคณะแห่งวิทยาลัยการแพทย์จีนได้ทำการศึกษาผลของสารสกัดโสมซานชีที่มีต่อการเคลื่อนที่ของ
ตัวอสุจิที่อ่อนแอ พบว่าสารสกัดโสมซานชีมีผลทำให้ตัวอสุจิเคลื่อนที่มากขึ้นหลังจากการบ่มไว้นาน 1 และ 2 ชั่วโมง


“จากที่กล่าวมาข้างต้นแม้ว่าการกินโสมซานชีจะช่วยให้ร่างกายของเราแข็งแรง แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่
สำคัญที่สุดที่จะทำให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์อย่างแท้จริงนั้น เรายังต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
พักผ่อนอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราไม่ควร
ละเลย เพื่อการมีสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริงนั้นเอง”
ข้อควรระวังในการกินโสม
• เพื่อให้ได้ผลสูงสุดเวลากินโสมจะต้องเลี่ยงอาหารบางอย่าง อย่ากินรวมกัน จะให้ดีอาหารอื่นต้องกินหลังกินโสม
อย่างน้อย 3 ชั่วโมง อาหารต่างๆเหล่านี้ ได้แก่ ผลไม้ที่มีกรดสูงๆ น้ำผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น น้ำส้มคั้น น้ำ
มะนาว และห้ามกินวิตามินซี ร่วมกับโสม อาหารหรือสารอาหารต่างๆ ดังกล่าวจะไปทำลายฤทธิ์ที่ควรจะได้จาก
โสม
• ไม่ควรดื่มกาแฟหรือสารกระตุ้นอื่นๆ ขณะที่กินโสมเพราะถ้าใช้ร่วมกันอาจทำให้ความดันเลือดสูงและนอนไม่
หลับได้
• ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไอมีเลือดปน โรคไต ไข้หวัด นอนไม่หลับ ไม่ควรกินโสม
• ควรเก็บโสมไว้ในภาชนะที่แห้งสนิทเพื่อป้องกันเชื้อรา

เอกสารอ้างอิง
1. ศักดิ์ บวร. 2537. โสมราชันย์สมุนไพรแห่งโลกตะวันออก. (พิมพ์ครั้งแรก) กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สมิต. 143 หน้า.
2. อรชุน เลียววัฒนาผล. 2533. ความลับของโสม. (พิมพ์ครั้งแรก) กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์รวมทรรศน์. 95 หน้า.
3. นิติ โตชนันท์. 2551. โสมซานชี....เลือดบริสุทธิ์....พลังบริสุทธิ์. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา
4. Ling S, Nheu L, Gou Z and Komesaroff P. 2007. Effect of four medicinal herb on human vascular
endothelial cells in culture. Department of Medicine, Monash University Central and Eastern Clinical
School, Prahran, Melbourne, Victoria, Australia. Int J Cardiol.
5. Hai J, Lin Q, Lu Y, Zhang H and Yi J. 2007. Induction of apoptosis in rat C6 glioma cells by panaxydol.
Department of Neurosurgery, Tongji Hospital, Tongji University, 389 Xin-Cun Road, Shanghai 200065,
China. Cell Biol Int, 31(7): 711-715.
6. Chen PF, Liu LM, Chen Z, Lin SY, Song WX and Xu YF. 2006. Effects of ethanol extracts of Panax
notoginseng on liver metastasis of B16 melanoma grafted in mice. Department of Oncology, First
Hospital, Zhejiang University of Traditional Chinese Medicine, Hangzhou, Zhejiang Province 310006,
China. Zhong Xi Yi Jie He Xue Bao, 4(5): 500-503.
7. Sun HX, Qin F and Ye YP. 2005. Relationship between haemolytic and adjuvant activity and structure of
protopanaxadiol-type saponins from the roots of Panax notoginseng. College of Animal Sciences,
Zhejiang University, Hangzhou, Zhejiang 310029, China. Vaccine, 23(48-49): 5533-5542.
8. Liang MT, Podolka TD and Chuang WJ. 2005. Panax notoginseng supplementation enhances physical
performance during endurance exercise. Department of Kinesiology and Health promotion, California
State Polytechnic University, pomona, California 91768, USA. J Strength Cond Res, 19(1): 108-114.
9. Wu YJ, Zhu XY, Sha XY and Fang XL. 2005. The pharmacokinetics and pharmacodynamics of intranasal
preparation of Panax notoginseng Saponins. Department of Pharmaceutics, School of Pharmacy, Fudan
University, Shanghai 200032, China. Yao Xue Xue Bao, 40(4): 377-381.

ถั่งเช่า หรือ ตังถั่งเช่า​

                  Cordyceps Sinensis

​เห็ดถั่งเช่า หรือ ชื่อเต็มว่า ตังถั่งแห่เช่า เป็นราแมลงในกลุ่ม Ascomycetes มีชื่อทางวิทยาศาตร์ว่า Cordyceps Sinensis

ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน ซึ่งเป็นหนอนผีเสื้อชนิดหนึ่ง และส่วนบนของตัวหนอนที่มีเห็ดชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Cordyceps sinensis (Berk.) Saec.

มีแหล่งกำเนิดเฉพาะถิ่น คือ ในพื้นที่สูง 4,000-5,000 เมตร จากระดับ น้ำทะเล เช่น ประเทศจีน ภูฏาน และทิเบต เกิดขึ้นโดยสปอร์เชื้อราจะเข้าสู่ตัวอ่อนของ หนอนผีเสื้อค้างคาว ที่ฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินในฤดูหนาว และเมื่อถึงฤดูร้อน ก้านสปอร์จะเติบโต ขึ้นมาบนพื้นดิน ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนต้นหญ้าที่ขึ้นเฉพาะฤดูร้อน และด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่า "ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า" หรือ "หนาวหนอนร้อนหญ้า"

        

ถั่งเช่า มีสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะสารคอร์ไดเซปิน (Cordycepin) มีฤทธิ์บำรุงไต กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยรักษาสมดุลย์ของคลอเรสเตอรอลในหลอดเลือด และมีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ  ดังนั้นเมื่อกินเห็ดชนิดนี้เข้าไป ก็จะส่งผลให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น ซึ่งจากงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่าหากกินถั่งเช่าวันละ 1 กรัม เป็น เวลา 46 วัน จะช่วยให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้นถึง 64% เลยทีเดียว

http://health.kapook.com/view11023.html

ในอดีตเห็ดถั่งเช่า
ถือว่าเป็นเห็ดที่มีราคาแพงและหายาก และเป็นเห็ดที่ใช้ในหมู่คนจีนและคนที่อยู่ตามพื้นที่สูงๆแถวภูเขาหิมาลัยเท่านั้น ราคาก็จะอยู่ในราวประมาณ กก.ละ 5-6 หมื่นบาทเท่านั้น แต่หลังจากปี พ.ศ. 2546 เป็นต้นมาราคาเห็ดถั่งเช่าก้าวกระโดดขึ้นมาหลายเท่า ราคาสูงกว่า กก.ละ 1 ล้านบาท พร้อมทั้งขาดตลาดด้วย ทั้งนี้เนื่องจาก เมื่อมีการแข่งขันกรีฑาที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในปี 2546

ปรากฏว่า นักวิ่งหญิงระยะไกล ตั้งแต่ 10,000 ม. 15,000 ม. และ 30,000 ม. จานวนมากถึง 9 คนสามารถวิ่งทาลายสถิติโลกได้ โดยโค้ชชื่อ Ma Zunren เปิดเผยว่า นักวิ่งทั้งหมดได้รับการบารุงอย่างสม่าเสมอจากการให้รับประทานเห็ดถั่งเช่าเป็นประจาผลของการตรวจสอบทางเคมี ไม่พบว่ามีสารเคมีที่ใช้เป็นยาในการกระตุ้น ดังนั้น การใช้เห็ดถั่งเช่าบารุงร่างกายให้แก่นักกีฬานั้น ไม่ถือว่าเป็นการผิดกฎของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลแต่อย่างใด ทาให้อีก 1 ปีต่อมา นักวิ่งมาราธอนจากจีนที่ใช้เห็ดถั่งเช่าบารุงร่างกาย สามารถเข้าชัยเป็นอันดับหนึ่งและทาลายสถิติโลกในการแข่งขันกรีฑาโลกที่ประเทศเยอรมัน

​ประโยชน์ของถั่งเช่า

1. กระตุ้นการใช้ออกซิเจนสูงขึ้นกว่า 40% จึงถือว่าเป็นอาหารธรรมชาติที่มีคุณสมบัติพิเศษกว่าอาหารอื่นใด เหมาะอย่างยิ่งสาหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับปอดและทางเดินหายใจ อันได้แก่ โรคหืด แพ้อากาศ เสมหะมาก และโรคปอด รวมทั้งมะเร็งปอดด้วย

2. โรคหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นของหัวใจผิดปกติ ความปิดปกติของลิ้นหัวใจ

3. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ โดยไปช่วยปรับระดับคอเลสเตอรอลที่มีความหนาแน่นต่า ที่เป็นสาเหตุทาให้หลอดเลือดแดงแข็ง ถือว่าเป็นของเสีย(LDL = Low Density Lipoprotein) ให้ต่าลง และปรับระดับคอเลสเตอรอยที่มีความหนาแน่นสูง ถือว่าเป็นของดี(HDL = High Density Lipoprotein) ให้สูงขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอย ไตรกลีเซอไรด์ และ LDL ไปพอกตามผนังเส้นเลือด ทาให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้

4. ช่วยบารุงตับ โดยสารต่างๆของเห็ดถั่งเช่า จะไปช่วยในการสร้างเซลใหม่ให้แก่ตับแทนบางส่วนที่ตายหรือแข็งตัวไป(Cirrhosis)

5. ช่วยเพิ่มพลังเพศ และจานวนเชื้ออสุจิที่แข็งแรงมีมากขึ้น เหมาะสาหรับผู้ชายที่มีลูกได้ยาก และเกิดอาการหลั่งเร็ว นอกจากนี้ จากผลการทดลองพบว่า การบริโภคเห็ดถั่งเช่าเป็นประจา จะทำให้ผู้ชายมีความต้องการทางเพศสูงขึ้นถึง 66% ผู้หญิงสูงขึ้นถึง 86%

6. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน โดยมีความสามารถในการสร้าง Killer cells ได้สูงถึง 400% เมื่อรับประทานวันละ 1-1.5 กรัมต่อวันติดต่อกันเพียง 3-4 วันเท่านั้น ใกล้เคียงกับเห็ดกระดุมบราซิล ด้วยเหตุนี้ จึงนิยมใช้เห็ดชนิดนี้ผสมกับเห็ดกระดุมบราซิลและเห็ดอื่นๆที่มีสาร Polysaccharides สูง เพื่อใช้ป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง

7. ผ่อนคลายความเหมื่อยล้า(Fatigue) ได้อย่างรวดเร็วและยอดเยี่ยม ผู้ที่ใช้พลังงานมาก หรืออ่อนเพลียจากการที่พักผ่อนไม่พอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออักเสบ ผู้สูงอายุที่กล้ามเนื้อไม่ทางาน นั่ง นอน หรือเดินลาบาก เห็ดถั่งเช่า สามารถช่วยบรรเทาปัญหาต่างๆได้อย่างดีและรวดเร็ว พร้อมทั้งเสริมสร้างการสร้างเซลใหม่ เพื่อซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ จึงเหมาะอย่างยิ่งสาหรับผู้ป่วยพักฟื้น และทาให้ผิวหนังเต่งตึงเป็นหนุ่มสาวใหม่ขึ้นได้อีก

 

 

 

 

 

ที่มาของข้อมูล : Hobb, C.,"Cordyceps Sinensis" in Medicinal Mushrooms, An Exploration of Tradition, Healing
and Culture ,Interweave Press :

http://www.organellelife.com/pdf/Cordyceps.pdf

bottom of page