top of page

สมุนไพรวัยทองสำหรับสตรี

คำตอบจากศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าโครงการวิจัยการป้องกันและเฝ้าระวังโรคกระดูกพรุนในคนไทย ตอบคำถามในประเด็นเหล่านี้ เรามาทำความเข้าใจถึงความสำคัญ และบทบาทของฮอร์โมนที่มีต่อผู้หญิงกันก่อน

ฮอร์โมนสำคัญอย่างไร
ฮอร์โมน เป็นสารเคมีที่หลั่ง ออกมาจากต่อมไร้ท่อ* ซึ่งเป็นต่อมขนาดเล็ก (รูปร่างแปลกๆ) ที่กระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

แต่ก่อนนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าร่างกายสร้างฮอร์โมนได้ประมาณ ๔๐ ชนิด แต่ในปัจจุบันพบว่าร่างกายสร้างฮอร์โมนได้มากกว่า ๑๐๐ ชนิด  ฮอร์โมนยังมีบทบาทอีกมากมายใน ส่วนที่เกี่ยวกับจิตใจ เช่น ความกลัวความโกรธ ความสุข และความเศร้า

ฮอร์โมนแห่งความเป็นหญิง
ฮอร์โมนสำคัญที่มีบทบาทต่อความเป็นผู้หญิง ได้แก่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน

เอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากรังไข่ ตั้งแต่ผู้หญิงเริ่มเข้าสู่วัยมีประจำเดือน เอสโตรเจนจะทำหน้าที่ในการพัฒนาระบบอวัยวะเพศ หรือระบบสืบพันธุ์ให้เจริญเติบโตเต็มที่ เช่น ทำให้เต้านมขยายตัวขึ้น ทำให้มีการสะสมของไขมันตามลำตัวในลักษณะที่แตกต่างจากผู้ชาย (ในผู้หญิงไขมันจะสะสมตามแขน ขา และสะโพกค่อนข้างมากกว่าผู้ชาย) หน้าที่ของเอสโตรเจนอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำให้ผนังมดลูกหนาตัวขึ้น และ รับการเปลี่ยนแปลง เตรียมพร้อมที่จะรับการฝังตัวของไข่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สร้างขึ้นจากรังไข่หลังไข่ตก เมื่อได้รับการ ปฏิสนธิจากสเปิร์มของเพศชายถ้าไข่ไม่ได้รับการผสม ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะลดลง ทำ ให้เยื่อบุโพรงมดลูกที่ถูกสร้างไว้หลุด ลอกออกมาเป็นเลือดประจำเดือนทุกๆ เดือน เป็นวงจรไปเรื่อยๆ ในชีวิตผู้หญิง ๑ คน จะมีประจำเดือน เกิดขึ้นรวมแล้วประมาณ ๔๐๐ รอบ ซึ่งหากกลไกดังกล่าวทำงานผิดพลาด หรือระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนไม่อยู่ในภาวะสมดุล ก็จะมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการมีประจำเดือนเกิดขึ้น

นอกจากหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ฮอร์โมนเพศหญิงยังทำให้ร่างกาย และเนื้อเยื่อต่างๆ มีความแข็งแรง แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์ เช่น มีการขยายของหน้าอก มากขึ้น มีการสร้างมูกในช่องคลอดมากขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีฮอร์โมน ผู้หญิงก็จะดูเต่งตึง สดใส มีน้ำมี นวล เซลล์ต่างๆ จะเสื่อมสภาพช้าลง กระดูกก็ยังคงสภาพที่ค่อนข้างแข็งแรง

ปัจจุบันเด็กผู้หญิงทั่วโลกมีแนวโน้มจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เร็วขึ้น (รวมทั้งเด็กไทย) นั่นคือ ประมาณ ๙ ปีขึ้นไป ทั้งนี้อาจมีเหตุปัจจัยความเจริญในด้านต่างๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ และสภาวะโภชนาการที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันผู้หญิงก็จะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนช้าลง

                                                                                                ภาวะหมดประจำเดือน
เกิดขึ้นได้ ๒ กรณี คือ หนึ่ง หมดไปเองตามธรรมชาติ สอง เกิดจากการผ่าตัด เอารังไข่ออกเพื่อรักษาโรค ซึ่งจะทำ ให้เกิดอาการผิดปกติเร็วกว่าผู้หญิงที่หมดประจำเดือนตามธรรมชาติ

อาการที่บ่งบอกว่าได้ย่างเข้าสู่ วัยทองแล้ว ในผู้หญิงอาจจะแสดงอาการล่วงหน้าประมาณ ๓-๔ ปี (ก่อนที่รังไข่จะหยุดทำงาน หยุดผลิต ฮอร์โมน) นั่นคือ ประจำเดือนจะเริ่ม มาผิดปกติ เช่น จะมาเดือนละ ๒ ถึง ๓ ครั้ง หรือประจำเดือนมาบ้าง ไม่มาบ้าง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่ารังไข่ทำงานน้อยลง ถ้าประจำเดือน ไม่มา ๖ เดือน บางครั้งอาจจะกลับ มาใหม่ได้ แต่ถ้าประจำเดือนหยุดไปนานถึง ๑ ปี ก็แสดงว่ารังไข่หยุด ทำงานแล้ว ซึ่งโดยเฉลี่ยผู้หญิงไทยจะหมดประจำเดือน เมื่ออายุประมาณ ๔๘-๕๐ ปี

อาการเมื่อขาดฮอร์โมน
เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิตผู้หญิง ทำให้เกิดอาการต่างๆ (ที่น่ารำคาญ) เสี่ยงต่อการเจ็บ ป่วยและเป็นโรคเพิ่มขึ้น
หลังหมดประจำ เดือนใหม่ๆ ประมาณ ๖ เดือนถึง ๑ ปี ผู้หญิงส่วนใหญ่จะ ได้เจอะเจอกับสภาวะ "เลือดจะไป ลมจะมา" นั่นคือ เกิดอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมากผิดปกติ อันเนื่องมาจากสมองส่วนที่ควบคุมอุณหภูมิในร่างกายทำงานผิดปกติ เพราะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน นี่ล่ะ! คือคำตอบที่บอกให้ทราบว่าทำไมขณะที่ผู้อื่นหนาว แต่ตัวเรากลับรู้สึกร้อนผ่าว สมัยก่อนมีความเชื่อกันว่า ผู้หญิงที่คลอดลูกแล้วไม่ได้อยู่ไฟ หรือคลอด ลูกแล้วไปอาบน้ำ ไปสระผม เมื่อแก่ ตัวเข้าจะมีอาการวูบวาบ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว แต่ความรู้ทางการแพทย์ ที่ทันสมัยตอบคำถามนี้ว่าไม่ได้เกี่ยวกับการไม่ได้อยู่ไฟ อาการดังกล่าวเป็นอาการของการขาดฮอร์โมนเพศหญิง

บางคนอาจจะรู้สึกใจสั่น นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ผิว พรรณแห้ง หรือปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเล็ดเวลาจามหรือไอ มีอาการปัสสาวะแสบๆ ขัดๆ ช่องคลอดแห้ง เพราะท่อปัสสาวะและหูรูดสูญเสีย การทำงานตามปกติ อันเนื่องมาจากการขาดฮอร์โมน

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในระยะยาว (อาจจะ ๕ ปี ๑๐ ปี ถึงจะแสดงอาการ) เมื่อหมดฮอร์โมนเพศ ภาวะเสี่ยงที่น่ากลัวสำหรับผู้หญิงวัยนี้คือ โรคกระดูกผุ หรือกระดูกพรุน โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และโรคสมองเสื่อมหรือ อัลไซเมอร์



                                                                                                  เสริมฮอร์โมนทดแทนดีไหม

เรื่องการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเสริมในวัยหมดประจำเดือนนี้ ยังมีความเข้าใจผิดกันอยู่หลายประเด็น


ประการแรก คือ คนทั่วไปมักจะคิดกันว่า เมื่อหมดประจำเดือน ผู้หญิงทุกคนจะต้องกินฮอร์โมนเสริม แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ เพราะผู้หญิงวัยทองบางคนก็ไม่จำเป็นต้องกินฮอร์โมนทดแทนเลย สำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรงมาก ออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นผู้ที่ไม่มีประวัติความเสี่ยงของการเป็นโรคกระดูกพรุนของคนในครอบครัว ไม่มีปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด (ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน มีไขมันสูง) หรือไม่มีสามี

ประการที่สอง คือ ความรู้ที่บอกเล่ากันปากต่อปากว่า กินฮอร์โมนแล้วจะทำให้ผิวพรรณเต่งตึงและเป็นสาวขึ้น ซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีส่วนถูกอยู่บ้าง แต่ก่อน อื่นก็ต้องไม่ลืมว่า ไม่มีใครสามารถหยุดอายุและหยุดยั้งเวลาในโลกนี้ได้ เพราะยังไงความแก่ชราก็ต้องมาถึง อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าคนเราจะใช้ ชีวิตในวัยนี้อย่างไรให้มีคุณภาพ
การใช้ฮอร์โมนเสริม (ในบาง คน) อาจจะช่วยชะลอความแก่ได้ บ้าง ในแง่ที่จะทำให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกายเกิดขึ้นช้าลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้สาว ขึ้น จนดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เช่น ทรวงอกอาจจะไม่หย่อนยานเร็วเกินไป ผิวพรรณถึงแม้จะเหี่ยวย่นอยู่แล้ว แต่ฮอร์โมนจะช่วยไม่ให้เหี่ยวย่นเร็วไปมากกว่านั้น

ประการที่สาม คือ การที่ญาติพี่ น้อง หรือเพื่อนๆ แนะนำบอกต่อให้ซื้อฮอร์โมนมาใช้เอง ทั้งที่ยังไม่หมด ประจำเดือน เป็นการกินเพื่อป้องกัน โรคกระดูกพรุนเอาไว้ก่อน รวมทั้งกินเพื่อยืดอายุการมีรอบเดือนให้ยาว นานออกไป หรือผู้ที่หมดประจำเดือนแล้วซื้อฮอร์โมนมากินเอง (ด้วยความไม่รู้ว่าอาจจะมีโทษ) กรณี อย่างนี้ค่อนข้างจะน่าเป็นห่วง เพราะ จะว่าไปแล้วการใช้ฮอร์โมนทดแทนก็เหมือนกับการใช้ยารักษาโรค ที่ เปรียบเสมือนดาบสองคม หากใช้ไม่ถูกต้องก็จะเกิดผลข้างเคียงได้ง่าย สิ่งสำคัญที่ต้องระลึกไว้เสมอคือ  ห้ามซื้อฮอร์โมนมาใช้เองโดยเด็ดขาด  และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เพราะแพทย์จะต้องทำการตรวจร่างกายและซักประวัติอย่างละเอียด เช่นถามว่า พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มีใครเป็นโรคกระดูกพรุนบ้าง มีคน ในครอบครัวหลังโกงหรือกระดูกหักง่ายหรือเปล่า กิจวัตรประจำวันของคนคนนั้นทำอะไรบ้าง เพราะในคนที่ทำกิจกรรมอยู่เสมอ ทำโน่นทำนี่ทั้งวัน ออกกำลังกายอยู่เสมอ มักจะ ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องกระดูกผุหรือ กระดูกพรุน ส่วนคนที่นั่งกินนอน  กิน สบายมากเกินไป หรือไม่ได้ออก กำลังกายเลย บุคคลกลุ่มนี้จะมีความ เสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ ง่าย

จากนั้นแพทย์ก็จะดูว่าผู้หญิงคนนั้นหมดฮอร์โมนเร็วหรือเปล่า อายุที่หมดประจำเดือนเร็วมากไหม เพราะในคนที่หมดประจำเดือนเร็ว หรือว่าหมดประจำเดือนเนื่องจาก  การผ่าตัดเอามดลูกหรือรังไข่ออก คนเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกพรุนได้ง่าย

ส่วนผู้ที่หมดประจำเดือนช้า และมีสุขภาพแข็งแรง มักจะไม่มีปัญหาอะไร แล้วรูปร่างทรวดทรงก็บอกได้เหมือนกัน เช่น คนรูปร่างผอมบางมักเป็นคนที่มีฮอร์โมนในร่างกายน้อย จึงมีปัญหาเรื่องกระดูก พรุนได้ง่าย เคยสังเกตไหมว่า คนแก่หลังโกงที่เราพบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นคนผอม และเราจะไม่เคยเจอคน อ้วนหลังโกงเลย เพราะในกรณีของคนอ้วนหรือผู้ที่มีไขมันมาก ร่างกาย ของผู้หญิงคนนั้นจะสามารถสร้างฮอร์โมนจากไขมันขึ้นมาทดแทนได้ในบางส่วน

สิ่งที่แพทย์จะต้องพิจารณาต่อมาคือ ผู้หญิงที่ต้องกินฮอร์โมนมีโรคอะไรที่เป็นข้อห้ามหรือไม่ เช่น  มีโรคเกี่ยวกับเนื้องอกที่มันจะโตขึ้นมาได้หลังจากใช้ฮอร์โมนหรือเปล่า เช่น เนื้องอกของมดลูก หรือเนื้อ งอกของเต้านม สิ่งต่างๆ เหล่านี้แพทย์จะนำมาพิจารณาดูว่าคนไข้ควรจะกินฮอร์โมนหรือไม่ รวมทั้งพิจารณาดูว่า เมื่อให้ฮอร์โมนไปแล้ว คนไข้สามารถกินต่อเนื่องได้หรือไม่ เพราะถ้ากินไม่ต่อเนื่องก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรมากมาย

                                                                                              ฮอร์โมนจำเป็นสำหรับใคร
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า การให้ ฮอร์โมนทดแทนมีประโยชน์กับผู้หญิงบางกลุ่ม แต่ไม่ใช่กับทุกคน และผู้หญิงที่จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนทดแทน คือ ผู้ที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน และมีอาการเนื่องจากขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างรุนแรง เช่น รู้สึกร้อนมาก เหงื่อออก หน้าแดง (วันละหลายสิบครั้ง) อารมณ์หงุดหงิดแปรปรวน นอนไม่หลับ อ่อนเพลียมากจนทำงานไม่ค่อยไหว มีอาการปากแห้ง ตาแห้ง ผิวแห้ง ทางเดินปัสสาวะขัด ปัสสาวะเล็ดราดตลอด (ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย และสามารถปรับตัวได้ภายใน ๓-๖ เดือน ก็ไม่จำเป็นต้องกินฮอร์โมน แล้วอาการจะหายไปเอง)

อย่างไรก็ตาม การให้ฮอร์โมน ทดแทนก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่เป็นเพียงแค่วิธีการหนึ่ง ในการดูแล สุขภาพของผู้หญิงวัยทอง สิ่งที่สำคัญคือวิถีการดำเนินชีวิตที่จะต้อง มีการออกกำลังกายชนิดแบกรับน้ำหนัก เพื่อทำให้กระดูกแข็งแรง รวม ทั้งการออกกำลังแบบแอโรบิก เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับปอดและหัวใจ การกินอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ อาหารที่มีแคลเซียมและกากใยสูง หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ และเครื่อง ดื่มที่มีกาเฟอีน พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ด้วยองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้ผู้หญิงวัยทองทุกคนผ่านช่วงวิกฤติแห่งวัยไปได้อย่างไม่มีปัญหา
ข้อมูลโดย :
ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน

l หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบด

l หัวหน้าโครงการวิจัยการป้องกันและ เฝ้าระวังโรคกระดูกพรุนในคนไทย มหาวิทยาลัยมหิดล



                                                        สมุนไพรวัยทองสำหรับสตรี



ตังกุย

                 Angelica sinensis (Oliv.)

​                   โกฐเชียง  กุยบ๊วย (จีน)

ตังกุยได้จากรากไม้พืชจำพวกคึ่นไช่ (Celery) มีฤทธิ์อุ่น รสหวานอมขมและเผ็ด จากการวิจัยพบว่าในตังกุยมี น้ำมันระเหยร้อยละ 0.4-0.7 ซูโครสร้อยละ 40 อัลคาลอยด์ วิตามินบี วิตามินบี12 วิต ามินเอ และยังมีกรดต่าง ๆ เช่น กรดนิโคติน กรดปาลมิติก กรดสเตียริก กรดไมริสติก กรดไขมันไม่อิ่มตัว กรดไลโนเลอิก และไซโทสเตอรอล
..... .....ตามตำราจีนกล่าวว่า ตังกุยเหมาะที่จะใช้รักษามะเร็งในผู้หญิงมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม หรือจะเป็นมะเร็งตับ ลูคิเมีย

​​มะเร็งต่อมน้ำเหลือง จากผลการวิจัยในห้อง Lab และผลวิจัยทางคลินิกทั้งที่จีน ญี่ปุ่น และเยอรมัน สรุปได้ผลตรงกันว่าสารที่พบในตังกุยมีฤทธิ์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตและทำลายเซลล์มะเร็งได้ถึง 50-70%

​.ตังกุยยังมีสรรพคุณบำรุงเลือด ช่วยให้เจริญอาหาร ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล



ต้องการผลิตภัณฑ์ตังกุยที่มีผลการวิจัย

คนไข้โรคมะเร็งมักจะเบื่ออาหาร เลือดน้อย ยิ่งหลังผ่าตัดหรือทำเคมีบำบัดมายิ่งซีดยิ่งกินข้าวไม่ลง แพทย์แผนจีนก็จะจ่ายยาตำรับที่เข้าตังกุยให้กินเพื่อบำรุงเลือดและกระตุ้นให้อยากอาหาร

ต้องการผลิตภัณฑ์ตังกุยที่มีผลการวิจัย

ผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือ คนที่ผอมแห้งแรงน้อย เบื่ออาหาร โลหิตจาง หน้าซีด ตังกุยก็ช่วยได้เหมือนกัน

http://www.oknation.net/blog/mamladda/2008/01/19/entry-3

1. สารสกัดน้ำมีฤทธิ์ยับยั้งการรวมตัวของเกล็ดเลือดและการปล่อยสาร serotonin ในหนูขาว10
เมื่อฉีดสารสกัดน้ำเข้าหลอดเลือดดำสุนัขในขนาดเทียบเท่าผงยา 10 กรัม/กิโลกรัม พบว่ามีฤทธิ์กระตุ้น
การหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้และมดลูก เมื่อฉีดสารสกัดน้ำและสารสกัดแอลกอฮอล์เข้าหลอดเลือดดำแมว หนูขาว และกระต่าย พบว่ามีฤทธิ์เพิ่มการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบของมดลูกนอกจากนี้ยังพบว่าสาร polysaccharides มีฤทธิ์ในการสร้างเม็ดเลือด

2. เมื่อให้สารสกัดน้ำครั้งละ 5 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันนาน 1 สัปดาห์ จะลดอาการ


 

​ปวดประจำเดือน และช่วยขับประจำเดือน จึงไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่ใช้ยาป้องกันเลือดแข็งตัว สารสกัดน้ำ
ยังมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อเรียบของมดลูกและลดความหนืดของเลือดในสตรี และเมื่อฉีดสารสกัดน้ำเข้า
หลอดเลือดดำผู้ป่วยจำนวน 40 ราย ในขนาด 240 มิลลิลิตร/คน/วัน ติดต่อกันนาน 30 วัน ไม่ทำให้เกิด
อาการผิดปกติใด ๆ

3. มีรายงานการวิจัยพบว่า โกฐเชียงช่วยยับยั้งการเจริญของเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง ต้านการอักเสบ และรักษาโรคหอบหืด

4. เมื่อฉีดสารสกัดเข้าหลอดเลือดดำหนูถีบจักร ขนาดสารสกัดเทียบเท่าผงยาที่ทำให้หนูถีบจักร ตายร้อยละ 50 (LD50) มีค่าเท่ากับ 100.6 กรัม/กิโลกรัม12

http://www.weherb.net/wizContent.asp?wizConID=115&txtmMenu_ID=7

                       กระชายดำ

                  Kaempferia parviflora Wall. Ex Baker

 

อยู่ในวงศ์  Zingiberaceae ซึ่งจะอยู่วงศ์เดียวกันกับขมิ้นชันและว่านชักมดลูก ใช้ เหง้า หรือ หัว เป็นยา

สรรพคุณทางยาของกระชายดำ

         ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ กระตุ้นระบบประสาท แก้ปวดเมื่อย ขับปัสสาวะ ขับลม รักษาสมดุลความดันโลหิต ขยายหลอดเลือดหัวใจ โรคเก๊าต์ โรคกระเพาะอาหาร รักษาระบบการย่อยอาหารให้เกิดสมดุลย์ โรคบิด

โรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด โรคหัวใจ สำหรับสุภาพสตรีทานแล้ว จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนทางเพศ ทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น ผิวพรรณผุดผ่องสดใส แก้อาการตกขาว ประจำเดือนมาไม่ปกติ

สารสำคัญที่พบในการะชายดำ

        สารที่พบในเหง้ากระชาย ได้แก่ borneol, sylvestrene ซึ่งแสดงฤทธิ์ต้านจุลชีพ และสาร 5,7 –ไดเมธอกซีฟลาโวน (5,7- dimethoxyflavone = 5,7 DMF) ซึ่งแสดงฤทธิ์ต้านอักเสบ นอกจากนี้ รายงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นปี 2547 พบสารพวกฟลาโวนอยด์ 9 ชนิด เช่น สาร 5,7,4’-trimethoxyflavone, 5,7,3’,4’-tetramethoxyflavone , 3,5,7,4’ –tetramethoxyflavone เป็นต้น

กระชายดำกับข้อมูลทางเพศ

     ตามตำรับยาแผนโบราณ หรือตำราว่าน 108 ถือว่ากระชายดำเป็นยาอายุวัฒนะชั้นหนึ่ง ตำรับยาเกือบทุกชนิดมักจะมีว่านกระชายดำเป็นส่วนประกอบอยู่เสมอ

​​ต้องการผลิตภัณฑ์ตังกุยที่มีผลการวิจั

โดยสรรพคุณเฉพาะของกระชายดำเองแล้ว จะใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง เป็นยาเจริญอาหารและบำรุงธาตุ แก้ใจสั่นหวิว แก้ลมวิงเวียน แน่นหน้าอก แก้แผลในปาก แก้ฝีอักเสบ แก้กลากเกลื้อน ขับปัสสาวะพิการ แก้บิดมูกเลือด แก้ปวดมวนในท้อง ท้องเดิน แก้ซางตานขโมยในเด็กในตำรายาโบราณบางฉบับมีการบันทึกถึงการนำกระชายดำไปใช้เป็นยาสมุนไพร ในหลายตำรับ  ดังเช่นคัมภีร์ยา  “นพเก้า” ที่กล่าวกันว่าเป็นสุดยอดของตำรายาสมุนไพร ซึ่งมีตัวยาทั้งหมด 9 ชนิดและกระชายดำก็เป็นหนึ่งในเก้าชนิดนั้น

              โสม                     

Asian ginseng

( Panax ginseng C.A., Meyer)

โสมเป็นสมุนไพรซึ่งนิยมใช้ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันโดยประเทศทางตะวันออกเชื่อว่าเป็นยาครอบจักรวาลช่วยเพิ่มพลัง โสมนี้ยังมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น โสมจีน โสมญี่ปุ่น โสมเกาหลี โสมอเมริกา ผักกะโสม โสมไทย โสมดอกแดง และโสมที่นิยมใช้กันมาพันปี คือ โสมเกาหลี หรือโสมอเมริกา ซึ่งเชื่อว่ามีสรรพคุณทางยาอย่างแท้จริง           

โสมมีสารประกอบสำคัญทางยามากกว่า 200 ชนิดประกอบด้วยกลุ่มสำคัญๆดังนี้
 

1.) กลุ่มสารปรับสภาพ (Ginsenoside Rg1,Rb1,Ro)เป็นกลุ่มที่มีคุณประโยชน์สูงสุด Rg1,Rb1จะส่งเสริมการทำงานซึ่งกันและกัน เหมือนหยินและหยางในยา

 

2.) กลุ่มสารสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และกล้ามเนื้อ
  

3.) กลุ่มสารที่ช่วยขจัดไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย (Panaxans)
  

4.) กลุ่มสารต่อต้านปฏิกิริยาการก่อมะเร็ง (Antioxidants)
  

5.) กลุ่มสารอื่นๆ เช่นวิตามิน เกลือแร่ น้ำมันหอมระเหย กรดไขมันเป็นต้น

สารสกัดจากโสมมีผลต่อการทำงานของร่างกาย


        1. ระบบมีภูมิคุ้มกันโรค สารสกัดจากโสมช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น โดยเสริมการสร้างแอนตี้บอดี้และช่วยกระตุ้นเซลล์ของร่างกายให้มีการสร้างภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันไป เสริมการสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความต้านทานให้อวัยวะที่ยังไม่เป็นโรค และเป็นยาอายุวัฒนะ ชลอความแก่


        2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด สารสกัดจากโสมส่งผลให้หัวใจแข็งแรง ควบคุมการเต้นของหัวใจและควบคุมความดันเลือด ช่วยเพิ่มฮีโมโกบินให้สูงขึ้น ช่วยละลายลิ่มเลือด ลดคอลเรสเตอรอล ช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน อันเป็นสาเหตุ ของโรคความดันโลหิตและโรคหัวใจ ช่วยลดปริมาณแอลกอฮอร์ในเลือด โสมช่วยผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด มือและเท้าเย็นเป็นต้น



ต้องการผลิตภัณฑ์โสมที่มีผลการวิจัย


       3. ระบบเผาผลาญอาหาร สารสกัดโสมช่วยสร้างระบบความสมดุลพลังในร่างกาย การดึงพลังงานสำรองมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยระบบการย่อยอาหารในกระเพาะควบคุมการหลั่งกรดในกระเพาะ มีผลต่อระบบการเคลื่อนไหวที่ดี มีความกระตือรือร้น และมีความอดกลั้นที่มากขึ้น


       4. ระบบสมองและความจำ สารสกัดโสม Gisenoside มีผลต่อระบบศูนย์กลางควบคุมความสามารถทั้งหมดโดยเฉพาะในสมองส่วนของ Hypothalamus เป็นที่ควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนที่สำคัญ เช่น Growth Hormone, Estrogen Hormone ในเพศหญิงเป็นต้นและควบคุมระบบประสาทของร่างกาย การกระตุ้นการทำงานของสมองส่งผลต่อการพัฒนาความสามารถในด้านการรับรู้และความจำ รวมทั้งการผ่อนคลายของระบบเส้นประสาทที่ดีขึ้น ช่วยระงับและลดความเครียดในสมอง


        โสม ช่วยผู้ป่วยโรคเบาหวานในเรื่องการควบคอเลสเตอรอลและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้...



ต้องการผลิตภัณฑ์ตังกุยที่มีผลการวิจัย



        โสม ช่วยบำรุงร่างกาย และเสริมการต่อต้านโรคภัยให้ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมเร็ง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ในช่วงที่ให้การบำบัด ด้วยเคมีบำบัด และช่วงพักฟื้น ..

        โสม  มีผลต่อผู้ที่มีปัญหาเรื่องการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศและการสืบพันธุ์ สารสกัดโสมช่วยเสริมการสร้างตัวอสุจิในท่านชาย และสร้างความแข็งแรงของอวัยวะสืบพันธุ์

         โสม ยังมีส่วนช่วยปัญหาของวัยหมดประจำเดือน ช่วยควบคุมระดับอารมณ์ และมีสารที่ช่วยให้ผิวเปร่งปรั่ง รักษาผิวหนังให้ชุมชื่น รวมทั้งช่วยป้องกันภัยจากรังสีแกรมมา ...

bottom of page